ระบบแยกทีมเก็บเงินและเจ้าของร้าน ทำยังไง?
การแยกทีมเก็บเงินจากเจ้าของร้านช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการหนี้สิน ลดภาระให้เจ้าของร้าน และทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง ระบบที่ชัดเจนและการใช้เทคโนโลยีจะช่วยให้การเก็บหนี้เป็นเรื่องง่ายและเร็วขึ้น
05/08/2568 07:40 น.
การจัดการลูกหนี้และการติดตามหนี้สินเป็นหนึ่งในความท้าทายที่เจ้าของร้านหรือธุรกิจต้องเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อการเก็บเงินและการติดตามหนี้เป็นภารกิจที่ต้องใช้เวลามากและอาจทำให้เจ้าของร้านเสียเวลาในการดูแลธุรกิจหลักของตัวเอง ดังนั้นการแยกทีมเก็บเงินออกจากเจ้าของร้านจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดความยุ่งยากและทำให้การบริหารจัดการหนี้สินเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมต้องแยกทีมเก็บเงิน?
เพราะบทบาทของ “ผู้ตามหนี้” และ “ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ” ไม่ควรเป็นคนเดียวกัน การบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การขายเก่ง หรือบริการดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการ จัดการกระแสเงินสด ที่เข้ามาอย่างมีวินัย และนี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไม "การแยกทีมเก็บเงิน" ออกมาจากเจ้าของร้านหรือผู้บริหาร จึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด
1. แยกบทบาทเพื่อเพิ่มโฟกัสในสิ่งที่สำคัญที่สุด
เจ้าของร้านหรือผู้บริหารมีหน้าที่หลักคือ:
- วางกลยุทธ์ระยะยาว
- คุมภาพรวมของธุรกิจ
- บริหารทีมงานและลูกค้า
- สร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้า
แต่ถ้าเจ้าของต้องมาทวงหนี้เองนั่นหมายถึงการใช้เวลาและอารมณ์ไปกับการเจรจา ตอบแชท ถามหาหลักฐานการโอน และเผชิญกับการถูกบ่ายเบี่ยงซ้ำ ๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เหนื่อยแล้ว ยัง ลดทอนพลังในการขยายธุรกิจ อย่างมีนัยสำคัญ
2. ทีมเก็บเงิน = ผู้เชี่ยวชาญด้านทักษะเฉพาะทาง
การตามหนี้ไม่ได้แปลว่า “แค่โทรไปถาม” แล้วจบ แต่ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น:
- การสื่อสารแบบมีชั้นเชิง: ถามอย่างไรให้ลูกหนี้รู้สึกเกรงใจ แต่ไม่อึดอัด
- การอ่านพฤติกรรมลูกหนี้: รู้ว่าคนนี้แค่ลืมหรือมีเจตนาเลี่ยง
- การจัดการเอกสารและหลักฐาน: เช่น สลิปโอน การออกใบแจ้งหนี้ ฯลฯ
- การวางแผนเงื่อนไขการผ่อน/เลื่อน: เพื่อไม่ให้เสียหายต่อความสัมพันธ์
ทักษะเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และฝึกฝน ซึ่งหากให้เจ้าของร้านทำเอง นอกจากจะไม่คุ้มแล้ว ยังมีโอกาสทำให้ “ความสัมพันธ์กับลูกค้าเสีย” เพราะอารมณ์และภาษาที่ไม่เหมาะสม
3. ลดความเสี่ยงด้านจิตใจของเจ้าของร้าน
หลายเจ้าของร้านเผชิญปัญหาเหล่านี้:
- เครียดทุกวันเพราะต้องคอยไล่ถามว่า “โอนยังครับ?”
- รู้สึกไม่อยากขายของแบบเครดิตอีกเลย
- เก็บเงินเอง แต่ก็ไม่อยากเสียลูกค้า
การมีทีมเก็บเงินจะช่วยเป็นตัวกลางระหว่างเจ้าของกับลูกค้า ทำให้ความสัมพันธ์ธุรกิจยังคงอยู่ โดยมีมืออาชีพช่วยดูแลในส่วนที่ “ไม่สนุกแต่จำเป็น”
4. สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่ “มีระบบ” มากขึ้น
ธุรกิจที่มีทีมเก็บเงินแยกจากเจ้าของร้าน ช่วยสะท้อนความเป็นมืออาชีพ เช่น
- มีระบบแจ้งหนี้เป็นทางการ
- สื่อสารด้วยภาษาที่นุ่มนวลแต่มีกรอบ
- ติดตามต่อเนื่องโดยไม่หลุด
ลูกค้าจะรู้สึกว่า บริษัทนี้ “ไม่มั่ว” และ “ไม่ลืม” ซึ่งอาจช่วยลดการผิดนัดชำระในระยะยาวได้
ระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
หัวใจของทีมเก็บเงินไม่ใช่แค่การ “ทวงเงิน” แต่คือ “การจัดการหนี้อย่างเป็นระบบ” การจะให้ทีมเก็บเงินทำงานได้เต็มศักยภาพ ไม่เพียงแค่ต้องมีคนที่พูดเก่งหรือเจรจาเก่งเท่านั้น แต่ต้องมีระบบที่สนับสนุนให้ทุกขั้นตอนดำเนินไปได้อย่างราบรื่น โปร่งใส และติดตามได้
1. การตั้งค่ากระบวนการเก็บเงิน
เริ่มต้นด้วยการวางแผนที่ชัดเจน เหมือนการตั้งกฎเกมก่อนเริ่มเล่น
- กำหนดรอบชำระหนี้ที่ชัดเจน: เช่น ภายใน 7 วันนับจากออกบิล / ชำระภายในวันที่ 5 ของเดือน
- ระบุช่องทางการชำระเงิน: โอนบัญชี, QR Code, ชำระผ่านระบบออนไลน์, พร้อมเพย์ ฯลฯ
- ออกใบแจ้งหนี้เป็นระบบ: ใช้ระบบออกใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ พร้อมเลขที่อ้างอิง
- ติดตามสถานะการชำระ: ใช้ระบบ CRM หรือระบบติดตามหนี้ เพื่อให้เห็นชัดว่า ใครจ่ายแล้ว ใครยัง และเมื่อไรควร follow-up
ตัวอย่าง: ระบบจะเตือนทุกวันจันทร์ให้เจ้าหน้าที่โทรเตือนลูกค้าที่ครบกำหนดในสัปดาห์นั้น พร้อม log การติดต่อล่าสุด
2. การจัดสรรทรัพยากร
ทีมดีต้องมีทั้ง “คน” และ “เครื่องมือ” ที่เหมาะสม
- คัดคนที่เหมาะกับงานทวง: ไม่ใช่แค่พูดเก่ง แต่ต้องควบคุมอารมณ์ดี มีน้ำเสียงน่าเชื่อถือ
- อบรมทักษะการเจรจา: เช่น วิธีพูดให้ลูกหนี้ไม่รู้สึกโดนคุกคาม หรือเทคนิคการโน้มน้าวให้จ่ายบางส่วน
- มอบหมายเคสตามระดับความยาก: ลูกค้าที่ยังตอบบ้าง อาจให้เจ้าหน้าที่ใหม่ดูแล ส่วนเคสดื้อ/เงียบ ให้คนมีประสบการณ์จัดการ
เคล็ดลับ: ใช้ “สคริปต์” หรือ “แนวทางการพูด” ที่ช่วยให้ทีมสื่อสารได้ในโทนเดียวกัน ลดความเสี่ยงจากความเข้าใจผิด
3. การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
ระบบที่ดีจะทำให้ทีมเก็บเงิน “ไม่หลุด” แม้มีลูกหนี้เป็นร้อยราย
- ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ: เช่น ส่ง LINE หรือ SMS แจ้งเตือนก่อนครบกำหนดชำระ 3 วัน
- แดชบอร์ดติดตามสถานะ: เห็นได้ทันทีว่าใคร “จ่ายแล้ว” / “เลยกำหนด” / “กำลังติดต่ออยู่”
- ฟีเจอร์แนบหลักฐาน: ลูกค้าสามารถส่งสลิปการโอนได้สะดวก และระบบจัดเก็บไว้ให้อัตโนมัติ
- การบันทึกการติดต่อ: ทุกการโทร/แชทจะถูกบันทึกไว้ในระบบ ทำให้ทีมสื่อสารกันเป็นทีมเดียว
ตัวอย่างระบบ: “น้องเก็บดี” หรือ Debt CRM ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจ SME ช่วยให้เจ้าของร้านไม่ต้องจำเองว่า “ทวงใครไปแล้วยัง?”
4. การสื่อสารและความสัมพันธ์กับลูกหนี้
เพราะเป้าหมายไม่ใช่แค่ “ได้เงิน” แต่ยังต้อง “รักษาความสัมพันธ์”
- พูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร: ไม่ใช่เสียงดุแบบเจ้าหนี้ แต่เป็นคนเตือนแบบมืออาชีพ
- เข้าใจสถานการณ์ลูกหนี้: บางรายอาจเดือดร้อนจริง แนะนำให้แบ่งจ่ายหรือเลื่อนชำระแทน
- ไม่พูดซ้ำซาก: หลีกเลี่ยงประโยคที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกถูกซ้ำเติม เช่น “นี่ยังไม่จ่ายอีกเหรอครับ?”
- จบการสนทนาอย่างดี: เช่น “ขอบคุณที่รับสายนะคะ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมติดต่อเราได้เลยครับ”
แนวคิดสำคัญ: การสื่อสารที่ดี ช่วยลดอารมณ์ ลดแรงต้าน และเพิ่มโอกาสได้รับเงินมากกว่าการขู่หรือเร่ง
ผลลัพธ์ที่ได้จากการแยกทีมเก็บเงิน
“เจ้าของร้านโฟกัสธุรกิจ ทีมเก็บเงินจัดการหนี้” คือผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน การแยกทีมเก็บเงินออกจากเจ้าของร้านไม่ใช่แค่เรื่องของการแบ่งหน้าที่ แต่เป็นการจัดระบบงานให้ชัดเจน และทำให้ทุกคนได้โฟกัสในสิ่งที่ตัวเองถนัดอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีมากกว่าการได้เงินคืนเร็วขึ้นแต่มันคือการสร้าง “ธุรกิจที่ยั่งยืน” อย่างแท้จริง
1. เจ้าของร้านมีเวลาคิดมากกว่าเคลียร์หนี้
เมื่อเจ้าของร้านไม่ต้องมานั่งโทรทวง หรือไล่ตามลูกค้าทีละราย พลังงานและเวลาที่เหลือสามารถนำไปใช้ในการ:
- วางแผนการตลาดใหม่
- คิดโปรโมชั่นเพื่อเพิ่มยอดขาย
- พัฒนาสินค้า หรือขยายช่องทางขาย
- วางระบบการจัดการภายในให้มีประสิทธิภาพขึ้น
ผลที่เห็นชัด: ร้านเติบโตเร็วขึ้น เพราะเจ้าของ “ได้ใช้เวลาคิด” มากกว่า “แก้ปัญหาซ้ำซาก”
2. ทีมเก็บเงินทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
ทีมที่โฟกัสเฉพาะด้านหนี้ จะสามารถ:
- วางแผนการติดตามลูกค้าได้ล่วงหน้า
- สื่อสารอย่างมืออาชีพ โดยไม่ใช้อารมณ์
- ติดตามสถานะหนี้อย่างเป็นระบบ
- จัดการเคสลูกหนี้ได้ตามระดับความยากง่าย
ตัวอย่าง: ลูกหนี้ที่เบี้ยวนาน ทีมสามารถวางแผนแยกเจรจารอบใหม่, เสนอผ่อนชำระ, หรือตัดสินใจส่งเรื่องให้ดำเนินคดีได้ทันที
3. การจัดการหนี้เร็วขึ้น โปร่งใสขึ้น และไม่พลาด
- ลูกหนี้จะได้รับการติดตามตามรอบอย่างสม่ำเสมอ
- ทุกรายการมีหลักฐานการทวงและการจ่าย
- ลดการ “ลืม” หรือ “ทวงซ้ำ” แบบเดิม ๆ
- บริหารกระแสเงินสดของธุรกิจได้แม่นยำ
ผลลัพธ์: มีเงินเข้ามาตรงเวลา แผนรายจ่ายธุรกิจไม่สะดุด
4. ความเครียดของเจ้าของร้านลดลง
เจ้าของร้านไม่ต้อง:
- นั่งกลุ้มใจว่าใครจ่าย ใครยัง
- เจอลูกหนี้พูดไม่ดีแล้วหมดกำลังใจ
- ทวงแล้วเสียความสัมพันธ์
สภาพจิตใจที่ดี นำไปสู่การคิดสร้างสรรค์และพลังในการบริหารร้านได้ยาวนานขึ้น
5. ธุรกิจดูน่าเชื่อถือและเป็นมืออาชีพ
เมื่อมีระบบเก็บเงินชัดเจน:
- ลูกค้ารับรู้ได้ว่าร้านจริงจังเรื่องการเงิน
- ลูกหนี้กลัวเสียเครดิต จึงไม่กล้าหนี
- ทำให้ร้านดู “เป็นระบบ” แม้จะเป็นร้านเล็ก
ผลลัพธ์: ลูกค้าใหม่กล้ามาซื้อแบบเครดิต เพราะเชื่อว่าร้านมีระบบดูแลดี
สรุป
การแยกทีมเก็บเงินออกจากเจ้าของร้านไม่ใช่แค่การถ่ายโอนภาระแต่คือการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับความจริงของโลกธุรกิจในปัจจุบัน ที่ทุกวินาทีของเจ้าของร้านมีค่าสำหรับการ “วางแผน” มากกว่าการ “วิ่งตามเงิน”
การมีระบบการทำงานที่ชัดเจน พร้อมทีมเก็บเงินที่มีทักษะเฉพาะทาง จะช่วยให้การจัดการหนี้กลายเป็นเรื่องที่:
- โปร่งใส: ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
- รวดเร็ว: ไม่ปล่อยให้หนี้ค้างนานจนกลายเป็นหนี้สูญ
- มีประสิทธิภาพ: เพิ่มอัตราการชำระหนี้สำเร็จ
- สัมพันธ์ดี: สื่อสารกับลูกหนี้อย่างมืออาชีพ
ในขณะเดียวกันเจ้าของร้านจะได้โฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ เช่น การพัฒนาสินค้า การขยายสาขา หรือการวางกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้และความมั่นคงของธุรกิจอย่างแท้จริง
ธุรกิจที่บริหารหนี้ได้ดี = ธุรกิจที่บริหาร “อนาคต” ได้มั่นคง
เพราะกระแสเงินสด (Cash Flow) คือเส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจ การปล่อยให้เงินติดค้างโดยไม่มีระบบที่ดี ก็เหมือนปล่อยให้ธุรกิจเสี่ยงขาดเลือดโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น หากคุณเป็นเจ้าของร้านหรือผู้ประกอบการ ลองเริ่มต้นจากการแยกทีมเก็บเงินออกมาอย่างจริงจังแล้วคุณจะพบว่า “เวลา ความเครียด และรายรับที่สม่ำเสมอ” กลับมาอยู่ในมือคุณอีกครั้ง
📞 tel:088-983-9386 (คุณพลอย)
💬 Fanpage: โปรแกรมจัดการยอดผ่อนสินค้า
🌐 เว็บไซต์: โปรแกรมจัดการยอดผ่อนสินค้า
📱 Messenger: คลิกเพื่อปรึกษาฟรี